Survivor666
|
 |
« ตอบ #120 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 02:48:50 pm » |
|
นายสร้างสรรค์ วงศ์ฉลาด คณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ รหัสนักศักษา 115110905018-7
ตอบกระทู้วันที่ 09/02/54 14:48 ; สถานที่ หอพัก
สรุปว่า..
วัตถุทุกชนิดจะแผ่รังสีความร้อนที่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของผิววัตถุnรังสีความร้อนที่เปล่งออกมาจากวัตถุจะมีทุกความยาวคลื่น โดยจะเป็นรังสีใต้แดง (infrared) เมื่อมีอุณหภูมิต่ำ nเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะกลายเป็นรังสีสีแดงและสีขาวในที่สุด nปัญหาของกลศาสตร์แบบฉบับคือไม่สามารถอธิบายถึงการกระจายของรังสีที่แผ่จากวัตถุได้ nวัตถุที่สามารถแผ่หรือดูดกลืนรังสีความร้อนได้ทุกความยาวคลื่นจะมีชื่อเรียกว่า วัตถุดำ (blackbody)
|
|
|
|
mongkhonphan
|
 |
« ตอบ #121 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 05:07:22 pm » |
|
นายมงคลพันธ์ แซ่หลี วิศวกรรมโยธา รหัส 115330411039-4 เลขที่ 32 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 09/02/2554 เวลา 17.06 น. ที่ หอลากูน ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวดลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮร์เปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่ เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
Benjawan Onnual
|
 |
« ตอบ #122 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 05:15:15 pm » |
|
นางสาวเบญจวรรณ อ่อนนวล เลขที่ 55 sec 02 รหัส 1153109030326 สาขาสถิติประยุกต์ ตอบกระทู้เมื่อ 9/2/2554 เวลา 17.15 น. ณ หอพักนำรงค์แมนชัน
ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน (photons) พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน (work function) ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
Meena
|
 |
« ตอบ #123 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 05:36:18 pm » |
|
นายพสิษฐ์ แดงอาสา รหัส 115330411011-3 sec.4 วิศวกรรมโยธา วันที 9/2/54 เวลา17.35 pm. ณ บ้านเลขที่ 231/135
ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวดลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮร์เปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่ เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
Phatcharee
|
 |
« ตอบ #124 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 05:53:05 pm » |
|
นางสาวพัชรี มากพิ้ม เลขที่ 18 รหัส 115110903048-6 sec 02 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 9 /02/2554 เวลา 17.52น. สถานที่ บ้าน สรุปได้ว่า ........  วัตถุทุกชนิดจะแผ่รังสีความร้อนที่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของผิววัตถุnรังสีความร้อนที่เปล่งออกมาจากวัตถุจะมีทุกความยาวคลื่น โดยจะเป็นรังสีใต้แดง (infrared) เมื่อมีอุณหภูมิต่ำ nเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะกลายเป็นรังสีสีแดงและสีขาวในที่สุด nปัญหาของกลศาสตร์แบบฉบับคือไม่สามารถอธิบายถึงการกระจายของรังสีที่แผ่จากวัตถุได้ nวัตถุที่สามารถแผ่หรือดูดกลืนรังสีความร้อนได้ทุกความยาวคลื่นจะมีชื่อเรียกว่า วัตถุดำ (blackbody)
|
|
|
|
somkid-3212
|
 |
« ตอบ #125 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 06:00:58 pm » |
|
นาย สมคิด กุลสุวรรณ รหัส 115330411033-7 กลุ่ม CVE 53341 เฮิร์ตได้ทดลองฉายรังสีอุลตร้าไวโอเล็ตไปกระทบบนผิวโลหะพบว่าเกดรังสีอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้นเรียกอิเล็กตรอนนี้ว่าโฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายพบว่าเมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงจะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ เมื่อเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้นพบว่าโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น 
|
|
|
|
shanonfe11
|
 |
« ตอบ #126 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 06:57:20 pm » |
|
นายชานนท์ ชุมพร รหัส 115210417028-5 sec.02 เลขที่ 25 ณ หอฟ้าใสแมนชั่น ตอบกระทู้วันที่ 09/02/54 เวลา 18.57 น. ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. ปรากฏการณ์ นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิด ปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน (photons) พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับ ชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน (work function) ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
NISUMA
|
 |
« ตอบ #127 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 07:30:12 pm » |
|
นางสาวนิสุมา พรมนวล รหัส115110901010-8 เลขที่8 sec02 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาคณิตศาสตร์ เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) เมื่อเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้นพบว่าโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น
|
|
|
|
boatvivi
|
 |
« ตอบ #128 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 08:28:01 pm » |
|
นางสาวณัฎฐพร ชื่นสมบัติ นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ sec 02 เลขที่ 1 เวลา 20.28น. วันที่ 9 ก.พ. 2554
ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้วค่ะ
|
|
|
|
watcharich
|
 |
« ตอบ #129 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 08:33:11 pm » |
|
ผมนายวัชริศ สุจิตกาวงศ์ คณะวิศวกรรมโยธา รหัส 115040411037-3 เลขที่ 4 sec 02 ที่บ้าน วันที่ 9/2/2554 เวลา 20.28 น.
สรุปว่า
เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) เมื่อเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้นพบว่าโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น
|
|
|
|
00sunisa00
|
 |
« ตอบ #130 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 08:44:25 pm » |
|
น.ส.สุนิศ่า ชมมิ sec.2 เลขที่ 46 115310903001-1 สาขาสถิติ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 20.36 น. ณ ร้านอินเตอร์เน็ต ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้ พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
kranjana
|
 |
« ตอบ #131 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 12:14:42 am » |
|
นางสาวกาญจนา แสงวงศ์ sec2 เลขที่ 45 รหัสประจำตัว 115210904068-1 เรียนกับอาจารย์ ผ.ศ. จรัส บุณยธรรม เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 9/2/54 ที่บ้าน เวลา 0.14 น. มีความเห็นว่า/มีข้อคิดเห็นว่า/ความรู้จากเนื้อหาที่ได้ คือ ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮีร์ซเปลี่ยนความถี่ของ แสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่าเมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอน ในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
Kitiwat
|
 |
« ตอบ #132 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:20:49 am » |
|
นายกิติวัฒน์ ศรประสิทธิ์ เลขที่ 24 รหัส 115330411030-3 วิศวกรรมโยธา sec 4 วัตถุทุกชนิดจะแผ่รังสีความร้อนที่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของผิววัตถุnรังสีความร้อนที่เปล่งออกมาจากวัตถุจะมีทุกความยาวคลื่น โดยจะเป็นรังสีใต้แดง (infrared) เมื่อมีอุณหภูมิต่ำ nเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะกลายเป็นรังสีสีแดงและสีขาวในที่สุด nปัญหาของกลศาสตร์แบบฉบับคือไม่สามารถอธิบายถึงการกระจายของรังสีที่แผ่จากวัตถุได้ nวัตถุที่สามารถแผ่หรือดูดกลืนรังสีความร้อนได้ทุกความยาวคลื่นจะมีชื่อเรียกว่า วัตถุดำ (blackbody)
|
|
|
|
udomporn
|
 |
« ตอบ #133 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 12:57:19 pm » |
|
นาย อุดมพร พวงสุวรรณ วิศวกรรมโยธา 115330411025-3 เลขที่ 19 sec.04 วันที่ 10/2/54 เวลา 12.57 ณ.ที่หอลากูน
ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮีร์ซเปลี่ยนความถี่ของ แสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่าเมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอน ในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
sarayut sringam
|
 |
« ตอบ #134 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:45:18 pm » |
|
กระผมนายศรายุธ สีงาม นศ.วิศวกรรมอุตสาหการ-การจัดการ sec 4 รหัส 115330441201-4 เรียนกับ ผศ.จรัส บุณยธรรมา เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ ตึกวิทยบริการ เวลา 14.44 น มีความคิดเห็นว่า เมื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตกกระทบโลหะ จะทำให้อะตอมมีการสั่นสะเทือนแบบซิมเปิลฮาร์มอนิก ถ้าความเข็มของคลื่นมีค่ามากขึ้น นั้นคือขนาดของสนามแม่เหล็กมากขึ้น ทำให้แรงที่ทำให้เกิดการสั่นมีค่ามาก อิเล็กตรอนจหลุดจากผิดโลหะด้วยพลังงานที่มีค่ามาก ถ้าเพิ่มความถี่แสงพลังงานโฟดตอิเล็กตรอนจะมีค่าลดลง เพราะผลของความเฉื่อยของมวลอิเล้กตรอน
|
|
|
|
ศราวุธ พูลทรัพย์
|
 |
« ตอบ #135 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:53:11 pm » |
|
กระผมนายศราวุธ พูลทรัพย์ นักศึกษาภาควิชาวิศวกรรมโยธา รหัส 115330411042-8 เลขที่ 35 sec 04 เรียนกับอาจารย์จรัส บุณยธรรมา ตอบกระทู้นี้ที่หอลากูล วันที่ 10/2/2554 เวลา 14.52 น. ปรากฎการณ์โฟโต้อิเล็กตริก ค.ศ.1887 เฮิร์ตได้ทดลองฉายรังสีอุนตร้าไวโอเรตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮิร์ตเปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่า เมื่อลดความถี่ของรังสี ให้น้อยลงถึงค่าค่าหนึ่ง จะไม่เกิดโฟโต้อิเล็กตรอนขึ้น
|
|
|
|
oOGIG...k}
|
 |
« ตอบ #136 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:00:54 pm » |
|
ผมนายชำนาญกิจ ศิริยานนท์ รหัส 115330411004-8 เลขที่ 4 sec.4 วิศวกรรมโยธา เวลา 05:00:36 pm วันที่ 10/2/54
ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน (photons) พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน (work function) ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
Pichat Soysamrong
|
 |
« ตอบ #137 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:38:06 pm » |
|
กระผม นาย พิเชษฐ์ สร้อยสำโรง นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา sec. 04 รหัสประจำตัว 115330411003-0 เลขที่ 3 เรียนกับอาจารย์ ผศ.จรัส บุณยธรรมา เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 10 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ที่ เศรษฐบุตร พาวิลเลี่ยน 32/19 ม. 1 ต. คลองหก อ. คลองหลวง จ. ปทุมธานี เวลา 17.37 น. สรุปได้ว่า ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. เป็นปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน (photons) พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน (work function) ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
PoxyDonZ
|
 |
« ตอบ #138 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 05:42:12 pm » |
|
นาย สุรศักดิ์ ด้วงใจจิตร รหัส 115330411036-0 วิศวกรรมโยธา เวลา 05.42 pm. วันที่ 10 ก.พ. 54 สถานที่ หอร์ โฟร์บี 2
ปรากฏการณ์ที่แสงความถี่สูงๆเมื่อฉายไปยังโลหะ ทำให้โลหะสูญเสียประจุเรียกว่า photoelectric effect. ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับโลหะหลายชนิดถ้าความยาวคลื่นของแสงไม่มากเกินไป สำหรับโลหะแต่ละชนิดจะมีขีดจำกัดของความยาวคลื่นของแสงที่จะไม่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ได้เลยไม่ว่าแสงจะมีความเข้มสูงสักเท่าไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้สร้างความฉงนให้กับนักวิทยาศาสตร์อยู่ระยะหนึ่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้อธิบายได้เมื่อปี 1905 โดยอธิบายว่า : แสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน (photons) พลังงานของโฟตอนมีค่าเป็นสัดส่วนโดยตรงความถี่ของแสง ในการทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานจำนวนหนึ่งซึ่งขึ้นกับชนิดของโลหะ เรียกว่าฟังก์ชันงาน (work function) ถ้าพลังงานของโฟตอนมากกว่านี้ก็จะสามารถทำให้อีเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะได้
|
|
|
|
potchapon031
|
 |
« ตอบ #139 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 06:07:50 pm » |
|
นาย ภชพน เกตุวงศ์ เลขที่ 25 รหัส 115330411031-1 sec.04 วันที่ 10/02/2554 วิศวกรรมโยธา เรียนกับอาจารย์ จรัส บุณญธรรมา สถานที่ กิตติพงศ์ แมนชั่น เวลา 18.06 น.
วัตถุทุกชนิดจะแผ่รังสีความร้อนที่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของผิววัตถุnรังสีความร้อนที่เปล่งออกมาจากวัตถุจะมีทุกความยาวคลื่น โดยจะเป็นรังสีใต้แดง (infrared) เมื่อมีอุณหภูมิต่ำ nเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะกลายเป็นรังสีสีแดงและสีขาวในที่สุด nปัญหาของกลศาสตร์แบบฉบับคือไม่สามารถอธิบายถึงการกระจายของรังสีที่แผ่จากวัตถุได้ nวัตถุที่สามารถแผ่หรือดูดกลืนรังสีความร้อนได้ทุกความยาวคลื่นจะมีชื่อเรียกว่า วัตถุดำ (blackbody)
|
|
|
|
Thamanoon
|
 |
« ตอบ #140 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 09:13:14 pm » |
|
ผมนายธรรมนูญ พุทธวงษ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา sec 04 รหัส 115330411009-7 เลขที่ 9 เรียนกับ อ. จรัส บุณยธรรมา เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 ที่บ้านเช่า ซอยอีสเทิร์น เวลา 21.13 น. มีความเห็นว่า ค.ศ.1887 เฮิร์ต (Hertz) ได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเล็ตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้นเรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮิร์ตเปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนดลหะพบว่า เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) เมื่อเพิ่มความถี่ให้สูงขึ้นพบว่าโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น
|
|
|
|
kangsachit
|
 |
« ตอบ #141 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 12:53:33 am » |
|
นายกังสชิต จิโน รหัส115330411017-0 นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา เลขที่ 14 sec.4 เรียนกับอาจารย์ จรัส บุณยธรรมา วันที่ 11/02/2554 เวลา 00.53 น. สถานที่ มาลีแมนชั่น วัตถุทุกชนิดจะแผ่รังสีความร้อนที่ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของผิววัตถุnรังสีความร้อนที่เปล่งออกมาจากวัตถุจะมีทุกความยาวคลื่น โดยจะเป็นรังสีใต้แดง (infrared) เมื่อมีอุณหภูมิต่ำ nเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นจะกลายเป็นรังสีสีแดงและสีขาวในที่สุด nปัญหาของกลศาสตร์แบบฉบับคือไม่สามารถอธิบายถึงการกระจายของรังสีที่แผ่จากวัตถุได้ nวัตถุที่สามารถแผ่หรือดูดกลืนรังสีความร้อนได้ทุกความยาวคลื่นจะมีชื่อเรียกว่า วัตถุดำ (blackbody)
|
|
|
|
aek cve rmutt
|
 |
« ตอบ #142 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 03:21:42 am » |
|
นาย เอกชัย เสียงล้ำ 115330411046-9 sec 4 วิศวกรรมโยธา กลุ่ม 53341 เวลา 3.21 ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวดลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮร์เปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่ เมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอนในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
pisan mulchaisuk
|
 |
« ตอบ #143 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 06:59:28 am » |
|
กระผมนาย ไพศาล มูลชัยสุข นศ.คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ-การจัดการ รหัสนักศึกษา 115330441215-4 Sec.04 เรียนกับอาจารย์ จรัส บุณยธรรมา ตอบกระทู้วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 6.59 น. ที่หอพักเลิศวิจิตร มีความคิดเห็นว่า ปรากฎการณ์โฟโต้อิเล็กตริก ค.ศ.1887 เฮิร์ตได้ทดลองฉายรังสีอุนตร้าไวโอเรตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮิร์ตเปลี่ยนความถี่ของแสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่า เมื่อลดความถี่ของรังสี ให้น้อยลงถึงค่าค่าหนึ่ง จะไม่เกิดโฟโต้อิเล็กตรอนขึ้น
|
|
|
|
mypomz
|
 |
« ตอบ #144 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2011, 09:38:20 am » |
|
นายนพรัตน์ โตอิ่ม คณะวิศวกรรมโยธา รหัส 115330411040-2 เลขที่ 33 sec 4 ตอบกระทู้วันที่ 11 ก.พ. 54 เวลา 9.38 สถานที่ หอพัก
ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กตรอน ค.ศ.1887 เฮิร์ซได้ทดลองฉายรังสีอุลตราไวโอเลตไปกระทบบนผิวโลหะ พบว่าเกิดอิเล็กตรอนอิสระที่โลหะนั้น เรียกอิเล็กตรอนนี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน เมื่อเฮีร์ซเปลี่ยนความถี่ของ แสงที่ฉายตกกระทบบนโลหะพบว่าเมื่อลดความถี่ของรังสีให้น้อยลงถึงค่าๆหนึ่งซึ่งพอดีที่จะทำให้อิเล็กตรอน ในอะตอมหลุดเป็นอิสระได้ ถ้าความถี่น้อยกว่าค่าค่านี้จะไม่เกิดโฟโตอิเล็กตรอนขึ้น ความถี่นี้เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม
|
|
|
|
|