ฟิสิกส์ราชมงคล
|
 |
« เมื่อ: สิงหาคม 10, 2007, 07:20:35 am » |
|
สำหรับเครื่องขยายเสียงทั่วๆไป มักจะมีภาคขยายสัญญาณ ก่อนจะเข้าเครื่องขยายเสียง เราเรียกภาคนี้ว่า ภาคปรีแอมป์พลิฟลายเออร์ (Pre- amplifier) ซึ่งจะทำงานเหมือนกับภาคแอมพลิฟลายเออร์ทุกประการเพียงแต่สัญญาณขยายอ่อนกว่า เพื่อไม่ให้ขยายสัญญาณผิดเพี้ยน ดังนันเครื่องขยายเสียงราคาแพง จะมีภาคปรีแอมป์ หลายช่วงก่อนที่จะขยายเสียงออกทางลำโพง ทำให้ได้สัญญาณออกมาแรง และเหมือนกับสัญญาณขาเข้าทุกประการ หรือถ้าปรับแต่ง อาจจะไพเราะกว่าเสียงจริงก็ได้ พวกนักร้องคาราโอเกะนิยมมากทั้งๆที่เสียงขาเข้าไม่ค่อยจะไพเราะนัก แต่พอผ่านการปรับแต่ง กลายเป็นเสียงนักร้องก็เป็นได้ คลิกครับ
|
|
|
|
สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด
|
 |
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2008, 10:37:21 pm » |
|
ผมนายสุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็กต่อเนื่องsec 19 รหัส 115130461120-5 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 เวลา 22.38 น. ณ บ้านช้างขุนเทียน
ผมเป็นอีกท่านหนึ่ง ที่รักและชื่นชอบเครื่องขยายเสียงเป็นชีวิตจิตใจ และเซียนในการซ่อม และประกอบครับ หลักการแบบพื้นๆของเครื่องขยายเสียงมีไม่มากนัก แต่รายละเอียดปลีกย่อยจะแตกต่างกันไปในส่วนของการนำไปใช้งาน เช่น เครื่องขยายเสียงใช้ประกาศ เครื่องขยายเสียงใช้ในหอประชุม เครื่องขยายเสียงใช้ในโรงภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่ต้องมีส่วนประกอบที่คล้ายกัน แต่การใช้งานต่างกัน
เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น
เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ ทนทาน ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
หนุ่มลูกทุ่ง หมอลำ ไอ้หนุ่มเครื่องไฟ คือ สุวัฒน์ หนูคีรี เจ้าเดียวเท่านั้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 15, 2008, 06:49:28 pm โดย สุวัฒน์ หนูคีรี นักศึกษาวิศวอิเล็ก ผู้ดูแลระบบเว็บบอร์ด »
|
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Sunti
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 10:19:59 pm » |
|
Sunti Civil นายสันติ บัวงาม นศ.วิศวกรรมโยธา รหัส 115330411021-2 Sec 4 เลขที่ 16 ตอบกระทู้วันที่ 8/01/54 เวลา 22:18 น. ณ. หอป้าอ้วน หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
nutthaporn
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: มกราคม 08, 2011, 11:13:14 pm » |
|
นางสาว กิติมา รัตโนทัย เลขที่ 16 รหัส 115110903001-5 วันที่ 8 ม.ค. 54 เวลา 23.13 น. สถานที่ หอ zoom เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ *ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน *ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ *ทนทาน *ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป *ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
nutthaporn
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 01:50:16 am » |
|
นางสาวณัฐพร พิศนุ sec 02 เลขที่ 17 รหัส 115110903030-4 วันที่ 09/01/2554 เวลา 01.50 สถานที่ หอ ZOOM
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
siwapat
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 10:31:27 am » |
|
ผมนายศิวภัทร์ รัตนสมบูรณ์ รหัส 115330411024-6 เลขที่ 18 วิศวกรรมโยธา sec. 4 เวลา10.29 am. วันที่ 9/1/54 มี่หอลากูลแมนชั่น หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
kitima
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 10:59:06 am » |
|
นางสาว กิติมา รัตโนทัย เลขที่ 16 รหัส 115110903001-5 วันที่ 9 ม.ค. 54 เวลา10.59 น. สถานที่ หอ zoom เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ *ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน *ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ *ทนทาน *ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป *ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
kambio
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 01:56:44 pm » |
|
นางสาว นันทวัน มีชำนาญ นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขา ชีววิทยา sec. 02 เลขที่ 43 รหัส 115210904052-5 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 9 ม.ค. 2554 สถานที่ บ้าน เวลา 13.55 น.
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
Piyarat Mounpao
|
 |
« ตอบ #8 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 02:46:07 pm » |
|
นางสาว ปิยะรัตน์ เหมือนเผ่า เลขที่ 42 รหัส 115210904050-9 กลุ่ม02 คณะวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี สาขาวิชาชีววิทยา สถานที่ บ้าน เวลา 14.45 น. วันที่ 09/01/54 เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ *ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน *ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ *ทนทาน *ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป *ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
TanGMe
|
 |
« ตอบ #9 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 04:16:55 pm » |
|
นางสาวภัทรพร ผลอำไพ รหัสนักศึกษา 115110417062-6 เลขที่ 9 sec 02 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 9 มกราคม 2554 เวลา16.17 น. ที่หออยู่บ้านแมนชั่น เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น
เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ ทนทาน ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
kodchaporn
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 04:51:21 pm » |
|
น.ส กชพร เพ็งคำเส็ง นศ.วิศวกรรมเกษตร-สาขาอาหาร sec02 เลขที่29 รหัส 115210417059-0 เรียนกับ ผศ.จรัส บุณยธรรมา ตอบกระทู้วันที่วันที่ 9 มกราคม 2554 เวลา 16.51 น. สถานที่ บ้าน
หน้าที่ของเครื่องขยายเสียง ถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับปั๊มน้ำ คือมีหน้าที่ปั๊มให้น้ำทางด้านอินพุทที่ไหลเข้ามา ออกไปทางด้านเอาท์พุท ด้วยความแรงและเร็ว เช่นเดียวกัน สำหรับเครื่องขยายเสียง มันมีหน้าที่ปั๊มให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามา ออกไปทางด้านเอาท์พุท ด้วยความแรงและเร็ว เครื่องขยายเสียงจะขับดันสัญญาณด้านเอาท์พุท ตามสัญญาณด้านอินพุท เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเราจะแบ่งวงจรเครื่องขยายเสียงออกเป็น 2 ส่วน วงจรส่วนที่หนึ่งคือ วงจรทางเอาท์พุท ได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่ หรือจากแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง ถ้าเราใช้วิธีเสียบปลั๊กไฟที่บ้าน ไฟที่ได้เป็นไฟกระแสสลับ จะต้องแปลงไฟเป็นไฟตรงก่อนจึงจะป้อนให้กับวงจรเครื่องขยายเสียงได้ วงจรส่วนที่สองคือ วงจรอินพุท ซึ่งจะรับสัญญาณไฟฟ้าจากเทปหรือเครื่องเล่นซีดี ดีวีดี แผ่นเสียง และไมโครโฟน สัญญาณที่เข้ามายังเป็นลูกคลื่นลูกเล็กๆ ไม่สามารถนำไปขับออกทางลำโพงได้ อย่างไรก็ตามถ้านำหูฟัง ไปต่อไว้ สามารถได้ยินเสียงเบาๆ แต่เมื่อนำสัญญาณนี้ผ่านเข้าเครื่องขยายเสียงจะถูกขยายให้มีขนาดมากขึ้น สามารถนำไปขับออกทางลำโพงได้
|
|
|
|
Sirilak
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 09:26:05 pm » |
|
นางสาวสิริลักษณ์ ศัพสุข เลขที่ใหม่30 sec02 รหัส115210417064-0 เรียนกับ อ.จรัส บุณยธรรมา วันที่9 มกราคม 2554 เวลา 21.24น.
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
Jantira
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 10:14:50 pm » |
|
นางสาวจันทิรา รัตนพันธุ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติประยุกต์ รหัส115310903042-5 เลขที่64 sec02 วันที่9/01/2554 สถานที่Banoffee เวลา22.14น. สรุป หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
Narumol
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 10:50:39 pm » |
|
น.ส.นฤมล กำลังฟู เลขที่26 รหัสนักศึกษา 115210417031-9 sec.2 เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่อง ขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ นั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ *ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน *ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ *ทนทาน *ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป *ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
Jutharat
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: มกราคม 09, 2011, 11:17:13 pm » |
|
น.ส จุฑารัคน์ นาวายนต์ รหัส 115210417058-2 sec02 เลขที่28เข้ามาตอบกระทู้วันที่วันที่ 9 มกราคม 2554 เวลา 23.15 น. สถานที่ หอ RS หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
amnuay cve2
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 11:03:36 am » |
|
 กระผมนาย อำนวย เกิดโภคา นักศึกษาคณะวิศวกรรมโยธา SEC 17 เลขที่ 10 รหัส 115340411116-9 อาจารย์ผู้สอน ผศ. จรัส บุณยธรรมา เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 10/1/2554 ที่บ้าน เวลา 11.03 น.  หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
sumintra
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 12:28:11 pm » |
|
นางสาวสุมินตรา งามสมบัติ เลขที่ 36 รหัส 115210452022-4 sec 2 ตอบกระทู้วันที่ 10 มกราคม 2554 เวลา 12.28 ที่หอพัก
มีความเห็นว่า...
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
Jutamat
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 12:45:59 pm » |
|
นางสาว จุฑามาศ เชื้ออภัย เลขที่ 38 รหัส 115210904056-6 วันที่ 10 ม.ค. 54 เวลา 12.45 น. สถานที่ หอใน เครื่องขยายเสียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทของคุณภาพเสียงคือ 1. เครื่องขยายเสียงไฮ-ไฟ 2. เครื่องขยายเสียงแบบที่ไม่ใช่ไฮไฟ เครื่องขยายเสียงแบบไฮ-ไฟจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่สามารถตอบสนองได้ทุกย่านความถี่ตลอดความถี่เสียง นั่นคือเครื่องขยายประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟ เครื่องขยายประเภทนี้เช่น เครื่องขยายเสียงในโรงภาพยนตร์ มินิคอมโป ลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์อยู่ด้วย เป็นต้น ส่วยเครื่องขยายแบบไม่ใช่ไฮ-ไฟนั้นจะไม่เน้นที่คุณภาพของเสียง แต่จะเน้นที่ความดังของเสียงเท่านั้น เครื่องขยายเสียงประเภทนี้จะให้คุณภาพเสียงเฉพาะที่ความถี่ใดๆ ความถี่หนึ่งๆ เท่านั้น เช่น เครื่องขยายเสียงแบบประกาศ รถโฆษณา เป็นต้น เครื่องขยายเสียงที่ดีควรมีลักษณะ ดังนี้ *ขยายสัญญาณเสียงได้สม่ำเสมอ และไม่ผิดเพี้ยน *ไม่มีสัญญาณรบกวน เช่นเสียงฮัม เสียงซิกๆๆ แซกๆๆ *ทนทาน *ราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป *ซ่อมง่าย หาอะไหล่ง่าย
|
|
|
|
ดนุพร อ่อนศรี
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 01:10:37 pm » |
|
นายดนุพร อ่อนศรี รหัส 115040472024-7 sec.02 เลขที่ 8 ภาควิชาวิศวกรรมพลาสติก ตอบกระทู้ที่บ้านซอยอิสเทิล วันที่ 10/01/2554 เรียนกับอาจารย์ จรัส บุณยธรรมาหลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
Nitikanss
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 04:53:09 pm » |
|
นางสาวนิติการณ์ รัตนบุรี คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติประยุกต์ รหัส115310903052-4 เลขที่ 71 sec02 วันที่ 10/01/2554 สถานที่Banoffee เวลา16.53น. สรุป หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
alongkorn hunbuathong
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 06:07:36 pm » |
|
นายอลงกรณ์ หุ่นบัวทอง รหัส 115330411026-1 เลขที่ 20 กลุ่ม 53341 cve สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา sec 4 เวลา 18.07 น. วันที่ 10/1/54 ณ บ้านบางชันวิลล่า สรุปได้ว่าจากหลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงนั้นแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
sutin
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 11:11:54 pm » |
|
นาย สุทิน ศรีวิลัย เลขที่ 25 sec17 รหัส 115340441222-9 สถานที่ หอพักปานรุ้ง ตอบกระทู้วันที่ 10/1/2554 เวลา 23.10 น. เราจะแบ่งการทำงานของเครื่องขยายออกเป็น 4 ขั้นตอน 1 วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์กับเบส 2 เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบส อิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบส จนเต็ม เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 3 เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุท ทำให้กำแพงศักย์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
nontapun
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 09:47:07 am » |
|
นาย นนทพันธ์ เสนาฤทธิ์ sec 4 ตอบกระทู้วันที่ 11 มกราคม 2554 เวลา09.50 ที่บ้าน มีความเห็นว่า...
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
kittisap
|
 |
« ตอบ #23 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 11:25:38 am » |
|
กระผม นายกิตติศัพท์ ถนัดงาน นศ.วิศวกรรมอุตสาหการ-การจัดการ sec.4 เรียนกับ ผศ.จรัส บุณยธรรมา เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 11 มกราคม 2554 ที่ บ้าน ซอยพรธิสาร3 เวลา 11.25 น. ความคิดเห็นว่า หน้าที่ของเครื่องขยายเสียง ถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับปั๊มน้ำ คือมีหน้าที่ปั๊มให้น้ำทางด้านอินพุทที่ไหลเข้ามา ออกไปทางด้านเอาท์พุท ด้วยความแรงและเร็ว เช่นเดียวกัน สำหรับเครื่องขยายเสียง มันมีหน้าที่ปั๊มให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้ามา ออกไปทางด้านเอาท์พุท ด้วยความแรงและเร็ว เครื่องขยายเสียงจะขับดันสัญญาณด้านเอาท์พุท ตามสัญญาณด้านอินพุท เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นเราจะแบ่งวงจรเครื่องขยายเสียงออกเป็น 2 ส่วน วงจรส่วนที่หนึ่งคือ วงจรทางเอาท์พุท ได้รับพลังงานจากแบตเตอรี่ หรือจากแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง ถ้าเราใช้วิธีเสียบปลั๊กไฟที่บ้าน ไฟที่ได้เป็นไฟกระแสสลับ จะต้องแปลงไฟเป็นไฟตรงก่อนจึงจะป้อนให้กับวงจรเครื่องขยายเสียงได้
|
|
|
|
mildfunta
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 12:17:01 pm » |
|
นางสาวธัญลักษณ์ มิชัยยา เลขที่ 76 รหัส 1153109030607 sec 02 วันที่ 11 มกราคม 2554 เวลา 12.14 น. ณ shooter internet cafe' หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
werayut rmutt
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 02:23:20 pm » |
|
นายวีรยุทธ บุญใหญ่ รหัส115330411052-7 เลขที่ 45 sec.4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา เข้ามาตอบกระทู้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2554 เวลา 14.22 น. ณ ตึกวิทยะบริการ
หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
Chantana
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 02:30:29 pm » |
|
นางสาวฉันทนา ไกรสินธุ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาสถิติประยุกต์ sec 02 เลขที่ 47 รหัส 115310903002-9 เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 11/01/2554 เวลา 14:29 สถานที่ Shooter Internet อ่านแล้วสรุปได้ว่า
หัวใจสำคัญสุดของเครื่องขยายเสียง คือ ทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์ทำจากสารกึ่งตัวนำ ซึ่งเป็นสารที่สามารถเปลี่ยนแปลงการนำไฟฟ้าได้โดยการเติมสารเจือปนบางอย่างลงไป สารกึ่งตัวนำส่วนใหญ่ทำจากซิลิคอนที่หาได้ง่าย ส่วนกระบวนการเติมสารเจือปนเรียกว่า การโfปปิ้ง (doping)
การทำงานของเครื่องขยายออกเป็น 4 ขั้นตอนดังนี้
1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบส อิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบส จนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุท ทำให้กำแพงศักย์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
Mickey2010
|
 |
« ตอบ #27 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 02:38:54 pm » |
|
นางสาวปัทมา วงษ์แก้วฟ้า รหัส115310903038-3 เลขที่61 sec02 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติประยุกต์ เข้ามาตอบกระทู้วันที่ 11 มกราคม 2554 เวลา 14.37 น. สถานที่บ้านของตนเอง สรุปได้ว่าจากหลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงนั้นแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
Biwtiz
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 02:51:29 pm » |
|
น.ส กชพรรณ นาสวาสดิ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาสถิติ รหัสนักศึกษา 115310903036-7 เลขที่ 53 sec 02 ตอบกระทู้วันที่ 11 ม.ค 54 เวลา 14.51 น. สถานที่ บ้านคลอง 6 สรุปได้ว่า หลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาด ลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่าย ขึ้น
|
|
|
|
heetoon
|
 |
« ตอบ #29 เมื่อ: มกราคม 11, 2011, 02:56:26 pm » |
|
นายราชันย์ บุตรชน รหัส 115330411047-7 กลุ่ม 53341 cve สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา sec 4 เวลา 14.56 น. วันที่ 11/01/54 ณ Four B4 สรุปได้ว่าจากหลักการทำงานของเครื่องขยายเสียงนั้นแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน 1. วงจรทางด้านเอาท์พุทต่อเข้ากับอีมิตเตอร์และคอลเลกเตอร์ส่วนวงจรด้านอินพุทต่อเข้ากับิีมิตเตอร์กับเบส 2. เมื่อยังไม่มีกระแสไหลเข้าไปทางด้านอินพุท หรือขาเบสอิเล็กตรอนอิสระจากสารชนิด N จะเข้าไปลงหลุมของชนิด P ในขาเบสจนเต็ม 3. เกิดกำแพงศักย์ขึ้น หรือดีพลีชั่นโซนหนาขึ้นทำให้กระแสไฟฟ้าไหลได้ยาก 4. เมื่อมีกระแสหรือสัญญาณทางไฟฟ้าไหลเข้ามาทางอินพุททำให้กำแพงศักดิ์ลดขนาดลง แรงต้านทานลดลง อิเล็กตรอนสามารถกระโดดข้ามกำแพงศักย์จากอีมิตเตอร์ไปคอลเลกเตอร์ได้ง่ายขึ้น
|
|
|
|
|